วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

การใช้ Verbs


การใช้ Verbs
Verb to be มีหลักการใช้ ดังนี้
1. ถ้าเป็นกริยาสำคัญในประโยค มีความหมายว่า เป็น อยู่ คือ
2. ใช้วางข้างหน้า กลุ่มคำ adjective ( คำคุณศัพท์ )
3. ใช้เป็นกริยาช่วยในโครงสร้างของประโยค Continuous ( ประโยคที่มีกริยา   ing )
4. ใช้เป็นกริยาช่วยในโครงสร้างของประโยค Passive Voice ประโยคที่ประธาน
เป็น
ผู้ถูกกระทำ)
หลักการใช้กับประธานในประโยค
1. ถ้าประธานที่เป็นเอกพจน์บุรุษที่ 3 ซึ่งได้แก่ He She It หรือ ชื่ของคน
คนเดียว
สัตว์ตัวเดียวและสิ่งของอันเดียวที่ถูกกล่าวถึง Verb to be ที่ใช้ คือ is  เช่น
*He is a teacher. *Sam is a singer
*She is in the room. *My father is sleeping.
*It is a dog. *The pencil is on the table
2. ถ้าประธานเป็นเอกพจน์บุรุษที่ 1 ( ผู้พูดคนเดียว ) ซึ่งได้แก่ I Verb to be ที่ใช้ คือ am
*I am a student. * I am under the table.
3. ประธานเป็นพหูพจน์ทุกบุรุษ ซึ่งได้แก่ We You They หรือ ชื่อคนหลาย
สัตว์หลายตัว และสิ่งของหลายอันที่ถูกกล่าวถึง Verb to be ที่ใช้ คือ are เช่น
*We are nurses. *My father and I are in the room.
*They are policemen. *Suda and her friends are under the tree.
*You are very good. *The players are in the playground.
Verb to be ( is , am , are)
การสร้างประโยคที่มีVerb to be ให้เป็นประโยคปฏิเสธ. มีวิธีการดังนี้
เติม not ลงไปในตำแหน่งที่เรียงต่อจาก Verb to be หลัง is am are เช่น
· He is not in the room.
· I am not a child.
· They are not teachers.
· Suda is not reading.
หมายเหตุ รูปย่อของ ปฏิเสธ Verb to be คือ is not ย่อเป็น isn’t
am not จะไม่ใช้รูปย่อ are not ย่อเป็น aren’t
การทำประโยคที่มี Verb to be ให้เป็นประโยคคำถาม Yes No Question มีหลักการ ดังนี้ เอา Verb to be มาวางหน้าประโยค และเอาประธานของประโยคมาวางเรียงต่อจาก Verb to be
หลังจบประโยค ต้องใส่เครื่องหมายคำถาม เช่น
He is in the room. เปลี่ยนเป็น Is he in the room ?
They are soldiers เปลี่ยนเป็น Are they soldiers?
I am a boy. เปลี่ยนเป็น Am I a boy ?

Verb to have
การใช้ have , has
1. เป็นกริยาสำคัญในประโยค แปลว่า มี หรือ รับประทาน
2. เป็นกริยาช่วยในโครงสร้างของรูปประโยค Perfect Tense.
แยกใช้กับประธานในประโยคดังต่อไปนี้
1. ประธานเป็นเอกพจน์บุรุษที่ 3 ซึ่งได้แก่  He She It หรือ ชื่อคนคนเดียว สัตว์ตัวเดียว และสิ่งของอันเดียวที่ถูกกล่าวถึง ใช้ has เช่น
*He has many pens. *Dang has a dog.
*Her sister has a dool. *This cat has a short ear.
2. ประธานที่ไม่ใช่เอกพจน์บุรุษที่ 3 ทั้งหมด ใช้ have เช่น
*They have a big buffaloes. *The foxes have long ears.
*I have breakfast. *We have a big farm.
การสร้างประโยคที่มี have , has ให้เป็นประโยคปฏิเสธ
ใช้ do does เข้ามาช่วย โดยให้สอดคล้องกับประธาน คือ
1. ถ้าประธานเป็นเอกพจน์ บุรุษที่ 3 ซึ่งได้แก่ He She It คนคนเดียว สัตว์ตัวเดียว และสิ่งของอันเดียวที่ถูกกล่าวถึง ใช้ does ตามด้วย not เป็น does not . เช่น
He does not have brother.
She does not have money.
It does not have a tail.
James does not have any pens.
does not ใช้รูปย่อเป็น doesn’ t
2. ถ้าประธานเป็นตัวอื่นที่ไม่ใช่เอกพจน์บุรุษที่ 3 ใช้ do ตามด้วย not เป็น do not . 
They do not have any brother.
We do not have any money.
You do not have a tail.
James and Susan do not have any pens.
do not ใช้รูปย่อเป็น don’t
หมายเหตุ ในประโยคปฏิเสธไม่ว่าประธานจะเป็นพจน์หรือบุรุษใด ใช้ have ทั้งหมด
การทำประโยค ที่มี have has ให้เป็นประโยคคำถาม ที่ต้องการคำตอบ Yes หรือ  No หรือ Yes No Questions . มีหลักการดังนี้
1. เอา do does เข้ามาช่วย โดยวางไว้หน้าประโยค และต้องอยู่หน้าประธานของประโยค
2. ผัน do does …ให้สอดคล้องกับประธานของประโยค
3. ในประโยคคำถามให้ใช้ have เพียงตัวเดียวเท่านั้น หลังจบประโยคต้องใส่เครื่องหมายคำถาม เช่น
We have some money = Do we have some money ?
It has a tail. = Does it have a tail. ?
James and Susan have pens. = Do James and Susan have pens ?
He has a big baffalo. = Does he has a big baffalo.?
            Verb to do
Do และ Does มีหลักการใช้คือ ถ้าเป็นกริยาสำคัญหรือกริยาแท้ในประโยคจะมีความหมายว่า ทำต้องแยกใช้ไปตามประธานของประโยคให้ถูก เช่น
He does his homework.
They do their homework.
เป็นกริยาช่วยในประโยคคำถามและปฏิเสธที่มีกริยาแท้อยู่แล้วในประโยค และประโยคนั้นไม่มีVerb to be ( is am are ) .ในบริบทของประโยคเช่นนี้ do , does จะไม่มีความหมาย เป็น เพียงตัวช่วย เช่น
He does not have any sisters.
We do not buy a big car.
Remark :Verb to be ไม่อยู่ เอา Verb to do เข้ามาช่วย
do not ใช้รูปย่อเป็น don’t / does not ใช้รูปย่อเป็น doesn’t
แยกใช้ไปตามประธานของประโยค ดังนี้
1. ประธานเป็นเอกพจน์บุรุษที่ 3 ( He , She , It ชื่อคนคนเดียว สัตว์ตัวเดียว และสิ่งของอันเดียว ที่ถูกกล่าวถึง ) ใช้ Does.
2. ประธานเป็นไม่ใช่เอกพจ น์บุรุษที่ 3 ( I , You , We , They ชื่อคน
หลายคน
สัตว์หลายตัวสิ่งของหลายอย่างที่ถูกกล่าวถึง ) ใช้ Do
การใช้ Verb to do ในประโยคปฏิเสธ มีหลักการดังนี้
1. Verb to do เป็นเพียงกริยาช่วย ( Helping Verb ) ไม่ใช่กริยาแท้
2. กริยาแท้ของประโยคต้องใช้รูปเดิม ( Base form ) จะไม่มีการเติมหรือเปลี่ยนไปเป็นช่องใดทั้งสิ้น นะครับ
ประโยคบอกเล่า He likes cartoon.
ประโยคปฏิเสธ He doesn’t like cartoon.
ประโยคบอกเล่า They play football.
ประโยคปฏิเสธ They don’t play football.
การใช้ Verb to do ในประโยคคำถาม มีดังนี้
1. Yes / No Questions
1. ใช้ Verb to do วางหน้าประโยค ตามด้วยประธานของประโยคและกริยาแท้ของประโยควางเรียงต่อมา
ตัวอย่าง เช่น กริยาแท้ใช้ Base form ( รูปเดิมที่ไม่ต้องเติมหรือผัน )
ประโยคบอกเล่า He likes cartoon.
ประโยคคำถาม Does he like cartoon ?
ประโยคบอกเล่า They play football.
ประโยคคำถาม Do they play football. ?
2. Wh. Questions
1. ใช้ Verb to do วางข้างหลัง Wh. และหน้าประธานของประโยค ตามด้วยกริยาแท้ของประโยควางเรียงต่อมา ตัวอย่างเช่น
ประโยคคำถาม What does he want ?
ประโยคคำตอบ He wants a pen.
ประโยคคำถาม When do you have lunch ?
ประโยคคำตอบ I have lunch at 12.00.
Auxiliary Verb ( กริยาช่วย ) Verb ช่วย 24 ตัว มีดังนี้
is, am, are, was, were
have, has, had
do, does, did
will, would
shall, should
can, could
may, might
must
need
dare
ought to, used to

วิธีการใช้
1. ถ้าประโยคนั้นมีกริยานุเคราะห์ 24 ตัวนี้ตัวใดตัวหนึ่งปรากฏอยู่ในประโยคแต่เพียงลำพังไม่มีกริยาอื่นเข้ามาร่วมประโยคนั้นกริยานุเคราะห์ทำหน้าที่เป็นกริยาแท้
2. ถ้าประโยคกริยานุเคราะห์มาร่วมกับกริยาตัวอื่น มันก็ทำหน้าที่เป็นกริยาช่วยไปไม่ใช่เป็นกริยาแท้
หน้าที่ของVerb to be
1. วางไว้หน้ากริยาที่มี ing ทำให้ประโยคนั้นเป็นcontinuous Tense มีความหมายแปลว่า กำลัง ทุกครั้งไป
2. เมื่อวางไว้หน้ากริยาช่อง 3 (เฉพาะสกรรมกริยา ) ทำให้ประโยคนั้นเป็นกรรมวาจก ( Passive Voice ) มีความหมาย แปลว่า ถูก เป็นเอกลักษณ์
3. วางไว้หน้ากริยาสภาวะมาลา (Infinitive) แปลว่า จะต้อง มีความหมายเป็นอนาคตกาลเพื่อแสดงถึงความจงใจ หรือตั้งใจ
หน้าที่ของVerb to do
1. ช่วยทำประโยคบอกเล่าให้เป็นประโยคคำถาม
2. ช่วยทำให้ประโยคบอกเล่าเป็นประโยคปฏิเสธ ในกรณีที่ประโยคนั้น Verb to have ไม่มี  Verb to be ไม่อยู่ Verb to do จึงต้องมาช่วยให้เป็นปฏิเสธ
3. ใช้หนุนกริยาตัวอื่นเพื่อให้เกิดความสำคัญกับกริยาตัวนั้นว่าจะต้องทำเช่นนั้นจริงๆหรืเกิดขึ้นจริงๆโดยให้เรียงไว้หน้ากริยาที่มันไปหนุน
4. ใช้แทนกริยาตัวอื่นที่อยู่ประโยคเดียวกันเพื่อต้องการมิให้ใช้กริยาตัวเดิมนั้น  ซ้ำๆซากๆ
5. Verb to do ถ้านำมาใช้เป็นกริยาแท้แปลว่า ทำ เช่น He does his home work every day.   (เขาทำการบ้านของเขาทุกๆวัน)
หน้าที่ของ Verb to have
1. เรียงไว้หน้ากริยาช่อง3ทำให้ประโยคนั้นเป็น Perfect Tense (สมบูรณ์การ)
2. ใช้โดยมีกริยาสภาวมาลา ( Infinitive ) ตามหลังมีความหมายแปลว่า ต้อง ตลอดไป
3. ใช้ให้เกิดความหมายเท่ากับเหตุกัตตาประโยค คือประโยคที่ทำให้ผู้อื่นกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้
ในกรณีเช่นนี้ต้องใช้รูปประโยค
Have + Noun + Verb 3
หน้าที่ของ Will, Shall, Would, Should
Will ทำหน้าที่ช่วยกริยาตัวอื่นเพื่อให้เป็นอนาคตและใช้กับประธานที่เป็นบุรุษที่ 2 - 3
และนามเอกพจน์หรือพหูพจน์ทั่วไป
Shall ทำหน้าที่ช่วยกริยาตัวอื่นเพื่อให้เป็นอนาคตกาลและใช้กับประธานที่เป็นุรุษที่ 1 เท่านั้น
Would ใช้เป็นกริยาช่วยดังต่อไปนี้
1. ใช้เป็นอดีตของ Will ในประโยคที่เปลี่ยนข้อความมาจาก indirect speech
2. ใช้เป็นกริยาในสำนวนการพูด อยากจะ, อยากให้ ในกรณีเช่นนี้ใช้กับทุกพจน์ทุกบุรุษและมีความหมายเป็นปัจจุบันกาลธรรมดา
3. ใช้กับสำนวนการพูดว่า ควรจะดีกว่า ควบกับ better หรือ rather ได้กับทุกพจน์บุรุษ
Should แปลว่า ควร หรือควรจะ ถือเป็นปัจจุบันกาลใช้ได้กับทุกตัวประทานซึ่งส่วนมากมักจะใช้แทน  ought to โดยเฉพาะภาษาพูด
หน้าที่ของ May, Might
May นำมาช่วยดังนี้
1. เพื่อแสดงความมุ่งหมาย
2. เพื่อแสดงความปรารถนาหรืออวยพรให้
3. ช่วยเพื่อแสดงถึงการอนุญาตหรือการขออนุญาต
4. ช่วยเพื่อแสดงการคาดคะเน
5. ช่วยเพื่อแสดงความสงสัย
Might นำมาใช้ช่วย ดังนี้
1. ใช้เป็นอดีตของ may
2. ใช้ในกรณีที่ผู้พูดไม่แน่นอนใจจะทำหรือไม่
( แต่หากแน่นอนใจให้ไปใช้ may แทน )
การใช้ Need, Dare, Ought to, Used to
Need ถ้าเป็นกริยาช่วยแปลว่า จำเป็นต้อง ใช้ได้กับทุกบุรุษและทุกพจน์ ส่วนมากมักจะใช้เป็น กริยาช่วยในประโยคคำถามและประโยคปฏิเสธเท่านั้นกริยาแท้ที่ตามหลัง Need ไม่ต้องใช้ to นำหน้า
Need ถ้าเป็นกริยาแท้แปลว่า ต้องการ และเปลี่ยนรูปไปตามบุรุษ,พจน์,กาล เหมือนกริยาทั่วๆไป
Dare ถ้าเป็นกริยาช่วยแปลว่า กล้า ใช้ได้กับทุกบุรุษทุกพจน์และเป็นปัจจุบันกาล Infinitive ที่ตามหลังเป็น  Infinitive ที่ไม่มี to
Ought to แปลว่า ควรจะ ตัวนี้เป็นกริยาพิเศษทั่วๆไปกล่าวคือเมื่อเป็นประโยคบอกเล่าก็เรียง ought to ไว้หลังตัวประธานในประโยคและกริยาแท้ที่ตามหลัง ought to ก็ต้องเป็นกริยาช่อง 1 ตลอดไปหากเป็นคำถามก็ให้เอาเฉพาะ ought ขึ้นไปวางไว้ต้นประโยคและเมื่อทำเป็นประโยคปฏิเสธก็ให้เติม not ลงข้างหลัง ought
Used to แปลว่า เคย เป็นกริยาพิเศษที่มีความหมายว่า เคยกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดในอดีตเป็นประจำแต่บัดนี้ไม่ได้ทำการนั้นอีกแล้วกริยาที่ตามหลัง used to ต้องเป็นกริยาช่อง 1 ตลอดไปหากเป็นประโยคบอกเล่าให้เรียงไว้หลังประธานเป็นคำถามนำเอา Did ขึ้นไปวางไว้ต้นประโยคและเมื่อทำเป็นประโยคปฏิเสธก็ให้เติม did ก่อนแล้วจึงเติม not ลงไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น