วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

โครงสร้างของ Tense ทั้ง 12 Tenses

                   
         Present Simple Tense 
Present Simple Tense (ปัจจุบันกาล) คือ tense ที่พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน แต่ไม่ได้ระบุว่าการกระทำนั้นๆ สมบูรณ์แล้วหรือยัง โดยมีโครงสร้างดังนี้

         โครงสร้าง :Subject + verb…
        (ประธาน) + (กริยาช่องที่ 1)
         Subject คือ ประธานของประโยค โดยประธานอาจจะแตกต่างกันไปเช่น เป็นคำนาม (noun) เป็นคำสรรพนาม (pronoun) หรือเป็นประธานชนิดอื่นๆ โดยประธานจะมี 2 ชนิดคือ- ประธานเอกพจน์- ประธานพหูพจน์
Verb คือ กริยาของประธานหรืออาการที่ประธานแสดงออกมาโดยกริยาแท้จะมี 3 ช่อง เช่น
         ช่อง 1 ช่อง 2 ช่อง 3
speak spoke spoken 
write wrote write 

want watched wanted 
watch watched watched

          Present Simple Tense ใช้กับกริยาช่องที่ 1 เท่านั้น โดยนำกริยาช่องที่ 1 ไปเติมลงในโครงสร้างต่อจากประธาน โดยมีข้อระวังอยู่นิดเดียวคือ - ถ้าประธานเป็นเอกพจน์กริยาช่องที่ 1 ของ present simple tense ต้องเติม -s หรือ -es- ถ้าประธานเป็นพหูพจน์ กริยาเป็นช่องที่ 1 ไม่เติมอะไรเลยเช่น Annworks in the office.   แอน ทำงานในออฟฟิศ (เติม -s ที่ work เพราะประธานเป็นเอกพจน์)
Sona goes to school every day. โซน่าไปโรงเรียนทุกวัน  (Sona เป็นประธานเอกพจน์กริยาลงท้ายด้วย o เติม -es)
We go to Chiangmai every Sundayพวกเราไปเชียงใหม่ทุกอาทิตย์  (go ไม่เติม -s, -es เพราะประธาน we เป็นพหูพจน์)
I want a breath of fresh air. ผมต้องการสูดหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์  (want ไม่เติม -s, -es เพราะประธานเป็น 1)
Miss Suchada often buys a new hat on Monday. คุณสุชาดามักจะซื้อหมวกใบใหม่ในวันอาทิตย์ กริยาลงท้ายด้วย -o และหน้า -o เป็นพยัญชนะให้เติม -es เช่น
She goes to visit her friend in the hospital every day. หล่อนไปเยี่ยมเพื่อนที่โรงพยาบาลทุกวัน
He usually does his homework in the evening. เขามักจะทำงานบ้านในช่วงเย็น
          ข้อยกเว้น : ถ้าหน้า -o เป็นสระ ( a, e, i, o, u ) ให้เติม -s ที่ท้ายกริยา เช่น
He always woos the daughter of the king.เขามักจะตามจีบลูกสาวพระราชาอยู่เสมอ
          หมายเหตุ : กฎการเติม -ed (เพื่อทำกริยาให้เป็นช่องที่ 2 - 3) ก็คล้ายกับ กฎการเติม s, es ยกเว้นกริยาจำพวก irregular verbs
         การใช้ Present Simple Tense       

1) ใช้ present simple tense กับการกระทำที่เกิดขึ้นเป็นปกติวิสัยหรือ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นประจำสม่ำเสมอ ซึ่งการใช้กับการกระทำ หรือเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ มักจะมีคำกริยาวิเศษณ์ บอกเวลา (adverbs of time) เหล่านี้อยู่ด้วยเสมอ คือ

My watch keeps good time.  นาฬิกาของผมเดินตรงมาเลย (เดินเป็นปกติวิสัย)
In summer John usually plays tennis once or twice a week.  ในช่วงหน้าร้อนจอห์นมักจะเล่นเทนนิส หนึ่งหรือ สองครั้งต่อสัปดาห์เสมอ
Ann doesn’t drink tea very often.  แอนไม่ได้ดื่มน้ำชาบ่อยนัก
Sally changes her job every year.  แชลลี่เปลี่ยนงานทำทุกปี
            2) ใช้ present simple tense กับสิ่งที่เป็นจริงตลอดกาล หรือความจริงที่มีอยู่ทั่วไป เช่น
The sun rises in the east.  พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก
Honey is sweet.  น้ำผึ้งมีรสหวาน



The earth moves round the sun.   โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์
          3) ใช้ present simple tense กับแผนการ หรือตารางเวลาที่วางไว้ล่วงหน้าซึ่งสิ่งที่วาง แผนการไว้นั้นจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ เช่น
The concert this afternoon starts at 13.15.คอนเสิร์ตบ่ายนี้จะเริ่มแสดงเวลา13.15.
We go to New York next week.   พวกเราจะไปกรุงนิวยอร์คสัปดาห์หน้า
I sail for America next Saturday.   ผมจะแล่นเรือใบสู่อเมริกาในวันเสาร์หน้านี้
          4) ใช้ present simple tense คู่กับ future simple tense ในประโยคเงื่อนไขที่มี คำเชื่อมที่ แสดงเวลาเป็นอนาคตนำหน้า present simple tense และคำแสดงเวลาในประโยคเงื่อนไขที่กล่าวถึงนี้ คือ
When เมื่อ as soon as เมื่อ Before ก่อน if ถ้า unless ถ้า...ไม่ whenever เมื่อไหร่ก็ตาม until จนกระทั่งtill จนกระทั่ง
          หมายเหตุ: ใช้ present simple tense กับ If Clause (หรือ unless) ที่เป็นประโยคเงื่อนไขชนิดที่ 1 เท่านั้น
           โครงสร้าง : If + present simple, + ประโยคหลักมี will, shall…
We shall start our journey when our advisor arrives.   พวกเราจะเริ่มการเดินทางเมื่อที่ปรึกษามาถึง
Unless you take your off the brake the car won’tmove.   ถ้าคุณไม่ปล่อยเบรกรถก็จะไม่เคลื่อนที่
She takes the boys to school before she goes to work.   หล่อนพาเด็กๆ ไปโรงเรียนก่อนที่หล่อนจะไปทำงาน
I will be glad if it rains soon.  ผมจะดีใจมากถ้าฝนตก
            หมายเหตุ: ถ้าประโยคเงื่อนไขนั้นมีโครงสร้างใกล้เคียงกัน มาก tense ของทั้ง 2 ประโยค จะอยู่ในรูปที่เสมอกัน
            5) ใช้ present simple tense เมื่อพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในหนังสือ ในบทละครหรือในภาพยนตร์ ซึ่งเป็นการเล่าเรื่องที่ได้อ่าน ได้เห็นหรือได้ฟัง และใช้ present simple tense กับกริยา say เป็ยการอธิบายเนื้อหาของหนังสือ ที่ได้อ่านมา เช่น
In the film he plays the central character of Charles Smithson.ในบทภาพยนตร์เขาได้เล่นบทสำคัญของ Charles Smithson
Keats says, “A thing of beauty is joy forever”. คีธ กล่าวว่า สิ่งที่สวยงามคือความสนุกสนานชั่วนิรันดร์
           6) ใช้ present simple tense กับกริยาที่แสดงความรู้สึก แสดงอารมณ์ หรือสภาวะทางจิตใจ ซึ่งโดยปกติแล้ว มักจะไม่นำไปใช้ใน present continuous tense (ดูเพิ่มเติมจาก present continuous tense) กริยาจำพวกนี้มี see, hear, love, like, hate เป็นต้น เช่น
I hear you are getting married.  ผมทราบมาว่าคุณจะเข้าพิธีแต่งงาน
I see there’s been trouble in Bangkok again.  ผมเข้าใจว่ามีปัญหาเกิดขึ้นในกรุงเทพฯ อีกครั้ง
I like this girl very much.  ผมชอบหญิงสาวคนนี้มาก



 Present Continuous Tense 
         Present Continuous Tense   เป็น tense ที่ใช้กับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นหรือกำลังกระทำอยู่ในขณะที่พูดนั้น present continuous tense สร้างมาจาก present tense โดยใช้ verb to be และ กริยาแท้ช่องที่ 1 เติม -ing

         โครงสร้าง : subject + is, am, are + V. ing...

She is talking to a customer on the phone. หล่อนกำลังคุยโทรศัพท์อยู่กับลูกค้า( she เป็นประธานเอกพจน์จึงใช้กริยาช่วย verb to be เป็น is และกริยาแท้ talk

เติม -ing ตามโครงสร้าง)

You are drinking too much.  คุณดื่มมากไปแล้วนะ(ใช้ are เพราะประธานเป็น you และกริยาแท้ drink ก็เติม ing  ตามโครงสร้าง)
I am going to bed now. Goodnight!  ผมกำลังจะเข้านอน สวัสดีนะครับ(ประธานของประโยคคือ I จึงใช้กริยาช่วย verb to be รูป am ส่วนกริยาแท้ go เติม -ing 

ตามโครงสร้าง)

           หลักการใช้ Present Continuous Tense          
1) ใช้ present continuous tense กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะที่พูดนั้นซึ่งโดยมากจะมี คำกริยาวิเศษณ์บอกเวลาดังต่อไปนี้เป็นตัวบ่งชี้

NowAt this momentAt the moment = ขณะนี้
Right now At present

Tell the two boys to stop shouting. We are writing our reports at this moment.บอกเด็กชาย 2 คนนั้นให้หยุดตะโกนหน่อย พวกเรากำลังเขียนรายงานอยู่
I am writing a letter to Jerisuda.  ผมกำลังเขียนจดหมายถึงเจริสุดา  (บอกถึงเหตุการณ์ที่กำลังกระทำอยู่ในขณะที่พูด)
           2) ใช้ present continuous tense แสดงเหตุการณ์ หรือการกระทำที่เกิดขึ้นชั่วคราว โดยกิจกรรมหรือการกระทำเหล่านั้นจะไม่คงอยู่แบบถาวร เช่น
My sister is living at home for the moment.  ขณะนี้น้องสาวผมอยู่บ้าน (อีกไม่นานหล่อนอาจจะไปที่ไหนก็ได้เพียงแต่ตอนนี้อยู่บ้าน)
          หมายเหตุ : present continuous tense ใช้กับเหตุการณ์หรือสิ่งที่เกิดขึ้นชั่วคราว ไม่ใช่เกิดแบบถาวร ส่วน present simple tense จะใช้กับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปกติวิสัยหรือเกิดถาวร
          3) ใช้ present continuous tense กับการเตรียมการ การวางแผนงาน หรือการกระทำที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ และต้องระบุเวลาที่การกระทำนั้นๆ จะเกิดไว้ด้วย เพื่อไม่ให้เกิดการสับสนระหว่างความหมายที่เป็นปัจจุบัน และความหมายที่เป็นอนาคต 
I am meeting Peter tonight. He is talking me to theatre.  ฉันจะไปพบปีเตอร์คืนนี้ เขาจะพนฉันไปดูหนัง (นัดไว้ล่วงหน้าแล้ว)
She is going to a party next Sunday.  หล่อนจะไปงานปาร์ตี้ในวันอาทิตย์หน้า
        หมายเหตุ : come และ go ใช้ใน present continuous tense โดยไม่มีคำแสดงเวลาก็ได้
        4) ใช้ present continuous tense กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เป็นปัจจุบัน แต่ไม่จำเป็นต้องเกิดในขณะที่พูดอยู่นั้น เพราะจะเป็นช่วงเวลายาวๆ เช่น เป็นสัปดาห์ เดือน เทอม ปี เช่น
She is reading a play by Shaw.  หล่อนกำลังอ่านบทละครของชอว์  (หล่อนอาจจะกำลังอ่านอยู่ในขณะที่พูดหรืออาจจะอ่านอยู่ในช่วงสัปดาห์นี้หรือ เทอมนี้)
You look lovely when you are smiling.  คุณดูน่ารักมากเวลาคุณยิ้ม
         5) ใช้ always ในประโยค ใช้ present continuous tense เมื่อเหตุการณ์หรือการกระทำนั้นๆ เกิดขึ้นบ่อยๆ หรือเกิดขึ้นโดยไม่ได้คาดหมายมาก่อน เช่น
I always meet Mr.Richard in the English Club.ผมพบคุณริชาร์ตที่ชมรมภาษาอังกฤษเสมอๆ(ใช้ present simple เพราะเป็นที่ที่ต้องพบกันประจำ)
         หมายเหตุ : forever, constantly และ continually ใช้ใน present continuous tense ได้เหมือน always และความหมายเหมือน always แต่การใช้จะมุ่งไปที่ความไม่พอใจหรือ ความรำคาญของผู้พูด เช่น
My sister isforever losing her keys. น้องสาวผมลืมกุญแจเสมอๆ (เป็นคนขี้ลืมจนน่าเบื่อ)


 Present Perfect Tense 
             Present Perfect Tense ถูกสร้างขึ้นโดยมีกริยาช่วย have, has อยู่ในประโยคหรือกริยาแท้ของประโยค present perfect tense จะเป็นกริยาช่องที่ 3 เสมอ ซึ่งโดยมากแล้วจะอยู่ในรูปกริยา เติม -ed (finished, decided, arrested, improved, arrived, เป็นต้น) ซึ่งเรียกว่า regular verb ส่วนกริยาช่องที่ 3 ที่ เป็น irregular verb และถูกนำมาใช้ใน present perfect tense บ่อยๆ ก็มี lost, done, been, written  เป็นต้น

             โครงสร้าง : S + has, have + V.3…
Has: ใช้กับประธานเอกพจน์จำพวก he, she, it, Tom เป็นต้นHave: ใช้กับประธานพหูพจน์จำพวก we, they, you, Tom เป็นต้น
We have been here for three days.  พวกเราอยู่ที่นี่มา 3 วันแล้ว
การใช้ Present Perfect Tense           

1) ใช้ present perfect tense กับการกระทำที่เกิดขี้นในอดีตและดำเนินมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งโดยมากแล้วจะมีกริยาวิเศษณ์จำพวก since, for เป็นตัน เป็นตัวชี้นำอยู่ในประโยค เช่น

I have been in Bangkok since 1988.  ผมอยู่กรุงเทพฯ มาตั้งแต่ 1988(ขณะนี้ก็ยังอยู่)
Tom has been in the army for ten years.  ทอมได้เป็นทหารมา 10 ปีแล้ว (ขณะนี้ก็ยังเป็นอยู่)
           2) ใช้ present perfect tense กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตแต่ยังแสดงผลให้เห็นในปัจจุบัน และบ่อยครั้งที่มีคำกริยาวิเศษณ์จำพวก ever, never just, already, yetเป็นต้น อยู่ในประโยค เช่น
Tom has had a bad car accident.ทอมได้รับอุบัติเหตุทางรถยนต์ (คาดว่าตอนนี้นอนอยู่โรงพยาบาล)
We have spoken to each other on the phone but we have never met.พวกเราเคยคุยกันทางโทรศัพท์แต่ไม่เคยเจอหน้ากันเลย  (ผลคือยังไม่รู้หน้าตากัน)
           3) ใช้ present perfect tense กับการกระทำที่เกิดขึ้นในอดีตแต่ไม่ได้ระบุเวลาเฉพาะ เจาะจง เช่น
I have traveled a lot in America.  ผมเดินทางบ่อยมากในอเมริกา
Somchai hasbeen to Japan.  สมชัยได้เดินทางไปประเทศญี่ปุ่น
           4) ใช้ present perfect tense กับการกระทำหรือเหตุการณ์ที่เพิ่งจะจบลงไปอย่างสมบูรณ์ หรือเกือบจะสมบูรณ์ในขณะที่พูดอยู่ นั้น โดยมีคำกริยาวิเศษณ์เหล่านี้อยู่ในประโยค  คือ  just เพิ่งจะyet ยังเลยrecently เมื่อเร็วๆนี้already แล้วfinally ในที่สุด
He has already finished his work.  เขาทำงานเสร็จเมื่อครู่นี้
I havejust fallen downstairs.  ผมเพิ่งจะตกลงไปชั้นล่าง



  Present Perfect Continuous Tense 
             Present Perfect Continuous Tense มีหลักการใช้คล้ายกับ present perfect tense เพียงแต่เน้นการกระทำที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง จากอดีตมาจนถึงปัจจุบัน และรูปที่ใช้จะมี verb to be ด้วย

            โครงสร้าง : S + has, have + been + V.ing
She has been helping us since one o’ clock. หล่อนได้ช่วยเหลือพวกเรามาตั้งแต่เวลาบ่ายโมงจนถึงขณะนี้
            การใช้ Present Perfect Continuous Tense           

1) การใช้ Present Perfect Continuous Tense กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นในบางช่วงเวลาในอดีตและยังดำเนินไปอยู่ในขณะที่พูดนั้น เช่น

Ladda has been reading for five hours. ลัดดาอ่านหนังสือมา 5 .. แล้ว
(ขณะนี้ยังอ่านอยู่)

I have been teaching English for many years. ผมได้สอนภาษาอังกฤษมาหลายปี (ปัจจุบันก็ยังสอนอยู่)
           2) ใช้ Present Perfect Continuous Tense เพื่อเน้นระยะเวลาของเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไป อีกอย่างใช้ tense นี้กับการกระทำที่เพิ่งจะจบลงเมื่อสักครู่นี้ เช่น
My boyfriend has been playing.คนรักของฉันยังคงเล่นอยู่เลย (เล่นเกมส์ หรือ เล่นอะไรสักอย่าง)
Nida is very tired. She has been studying very hard. 

นิดาเหนื่อยมากเพราะเธอเพิ่งผ่านการเรียนอย่างหนักมา

            3) ใช้ Present Perfect Continuous Tense กับ how long, for… และ since … ซึ่งจะบอกว่าเหตุการณ์นั้นๆ ดำเนินต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน หรือเหตุการณ์นั้นๆ เพิ่งจะจบลง เช่น
How long have you been staying in Bangkok? คุณจะพักอยู่กรุเทพฯ นานเท่าไหร่


 Past Simple Tense  
              Past Simple Tense  พูดถึงเหตุการณ์ที่จบลงแล้ว คือ  เหตุการณ์ที่ผ่านเป็นอดีตไปแล้วนั่นเอง ในโครงสร้างของ past tense นั้น past simple tense มีบทบาทค่อนข้างสูงเพราะง่ายต่อการนำมาใช้ และมีโครงสร้างคล้ายกับ present simple tense การใช้ก็ไม่ต่างกันมากเพียงแต่ past simple tense ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นอดีต ส่วน present simple tense ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นปัจจุบัน ส่วนกริยาที่ใช้ก็จะ ต่างกันนิดหน่อย โดยกริยาของ present simple tense จะเป็นช่องที่ 1 (V.1) ส่วนกริยาของ past simple tense จะเป็นช่องที่ 2 (V.2) และคำกริยาวิเศษณ์ของ past simple tense ก็จะต่างจาก present simple tense ด้วยเช่นกัน

             โครงสร้าง : S +V.2
She told me her story.  หล่อนเล่าเรื่องของหล่อนให้ผมฟัง
I wrote a letter to Ladda yesterday.  ผมได้เขียนจดหมายถึงลัดดาเมื่อวานนี้
การใช้ Past Simple Tense             

1) ใช้ Past Simple Tense กับเหตุการณ์ที่เกิดในอดีตและจบลงไปแล้วในอดีตและไม่มีอะไรต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งโดยมากจะมีคำกริยาวิเศษณ์บอกถึงอดีตอยู่ด้วย  yesterday เมื่อวานนี้ formerly แต่ก่อนนี้ ago แล้ว, มาแล้ว last month เดือนที่แล้วlast night คืนที่แล้วlast… (last + คำนามอื่นๆ)

I finished my report last week.  ผมทำรายงานเสร็จเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
We bought a car yesterday.  พวกเราได้ซื้อรถคันหนึ่งเมื่อวานนี้
              หมายเหตุ: ในกรณีที่ประโยคมีคำกริยาวิเศษณ์เหมือนที่กล่าวมาข้างต้นอยู่ด้วย แต่มีเวลาระบุไว้อย่างแน่ชัด ให้ใช้ past continuous tense
             2) ใช้ Past Simple Tense กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นนิสัย เป็นประจำในอดีต โดยจะมีคำกริยาวิเศษณ์บอกความถี่ และกริยาวิเศษณ์บอกถึงอดีตมากำกับในประโยคด้วย 
I studied many hours every day.  ฉันเรียนหลายชั่วโมงทุกวัน
When I was 10 years old, I always carried an umbrella.  เมื่อผมอายุ 10 ขวบ ผมมักจะถือร่มเป็นประจำเลย



    Past Continuous Tense
              Past Continuous Tense   เป็น tense ที่ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและดำเนินไปอยู่ในอดีต หรือเกิดขึ้นและดำเนินไปอยู่ในช่วงใดช่วงหนึ่งในอดีต โดยมีรูปโครงสร้างคล้ายกับ present continuous tense ต่างแต่ past continuous tense ใช้กริยาช่วย verb to be รูป was, were และเหตุการณ์ที่กล่าวถึงนั้นจบลงแล้ว

            โครงสร้าง: S + was, were + V.ing
Was: ใช้กับประธานเอกพจน์รวมทั้ง I
Were: ใช้กับประธานพหูพจน์
การใช้ Past Continuous Tense             

1) ใช้ past continuous tense กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นและดำเนินไปอยู่ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งในอดีต โดยอาจจะมีคำกริยาวิเศษณ์บอกเวลาในอดีตระบุไว้ให้ทราบด้วย เช่น
Tom was watching TV at 10 o’clock yesterday. ทอมกำลังดู TV อยู่ในช่วงเวลานี้ของคืนที่แล้ว

Mickee was studying English at this moment yesterday.มิคกี้กำลังเรยีนภาษาอังกฤษอยู่ในช่วงเวลานี้เมื่อวาน
            2) ใช้ past continuous tense กับเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคู่กับในอดีต โดยเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ใช้ past continuous tense ส่วนเหตุการณ์ที่เข้ามาแทรกให้ใช้ past simple tense โดยที่ประโยคทั้ง 2 จะมีตัวเชื่อมจำพวก when, while เป็นตัวเชื่อมเหตุการณ์ทั้ง 2 เข้าด้วยกัน เช่น
The phone rang while I was watching television. โทรศัพท์ได้ดังขึ้นในขณะที่ผมกำลังดูโทรทัศน์
Sally was driving when the accident occurred. แซลลี่ กำลังขับรถอยู่ขณะที่อุบัติเหตุได้เกิดขึ้น
While Sona was swimming I stole her clothes. ในขณะที่โซน่ากำลังว่ายน้ำอยู่ ผมได้ขโมยเสื้อผ้าของหล่อนไป
When Tom arrived we were having dinner. เมื่อทอมมาถึง พวกเรากำลังทานอาหารอยู่       
              หมายเหตุ: สังเกตได้ว่า while หรือ as ใช้วางไว้หน้า past continuous tense ส่วน when ใช้วางไว้หน้า past simple tense
              3) ใช้ past continuous tense กับเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ที่กำลังดำเนินต่อเนื่องกันไปในช่วงเวลาเดียวกันในอดีตโดยจะมีคำเชื่อม while และ as อยู่ด้วย และทั้ง 2 เหตุการณ์ใช้ past continuous tense เช่น
While Tom was writing, his wife was cooking.ขณะที่ทอมกำลังเขียนหนังสืออยู่นั้นภรรยาของเขากำลังทำกับข้าว
As he was reading a book, his wife was writing a letter.ขณะที่เขากำลังอ่านหนังสืออยู่ภรรยาของเขากำลังเขียนจดหมาย



 Past Perfect Tense
               Past Perfect Tense มีรูปโครงสร้างคล้ายกับ present perfect tense ต่างเฉพาะ present perfect tense ใช้ has, have เป็นกริยาช่วย ส่วน past perfect tense ใช้ had เป็นกริยาช่วยและการใช้ก็ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต ซึ่งจะเป็นช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งในอดีต และเหตุการณ์ที่พูดถึงนั้นจบสมบูรณ์แล้ว

              โครงสร้าง: S + had +V.3…
She explained that she had forgotten her book. หล่อนอธิบายว่าหล่อนได้ลืมหนังสือหนังสือเล่มหนึ่ง
My son ran away after he had broken the window. ลูกชายของผมได้วิ่งหนีไปหลังจากที่เขาได้ทำหน้าต่างแตก
การใช้ Past Perfect Tense             

             1) ใช้ Past Perfect Tense กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบลงก่อนเหตุการณ์ที่เป็น past simple หมายความว่า เมื่อเราได้พูดถึงเหตุการณ์ที่เป็นอดีตจบลงแล้ว (เหตุการณ์นี้ใช้ past simple) และถ้าอยากจะพูดถึงเหตุการณ์อีกเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นก่อนอดีตที่เพิ่งจะพูดจบลงไปเมื่อครู่นี้ ให้ใช้ past perfect tense อีกอย่างคำจำกัดความข้อนี้หมายถึง การใช้ past perfect กับเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนและจบลงไปแล้วในอดีต ให้ใช้ past perfect ส่วนอีกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังและจบภายหลัง ซึ่งก็เป็นอดีตเหมือนกันให้ใช้ past simple โดยมากแล้วจะมีตัวเชื่อม จำพวก 

when, before, after เชื่อมในประโยค เช่นAfter I had written the letter, Sudarat came in.
การสร้าง Past Perfect Tense รูปอื่นๆ           

1) Past Perfect Tense ทำเป็นประโยคปฏิเสธได้โดยการเติม    not ที่ had 
( เหมือน Present Perfect Tense)           
2) Past Perfect Tense ทำเป็นประโยคคำถามโดยการนำ had มาวางไว้หน้าประธาน (เหมือน Present Tense)           
3) การตอบคำถามของ Past Perfect Tense ทำเหมือนกับ Present Perfect Tense

 Past Perfect Continuous Tense
                Past Perfect Continuous Tense ใช้คล้ายๆ กับ Present Perfect Tense เช่นเดียวกับที่ Present Perfect Continuous Tense ใช้คล้ายกับ Present Perfect Tense โดย Past Perfect Continuous Tense จะเน้นถึงช่วงเวลาที่เกิดขึ้นในอดีต

             โครงสร้าง: S + had + been +V.ing
Had ใช้ได้กับประธาน ทั้งเอกพจน์และพหูพจน์
At that time he had been writing a novel for two months.ช่วงเวลานั้นเขาได้เขียนนวนิยายเป็นเวลา 2 เดือนแล้ว
การใช้ Past Perfect Continuous Tense             

             1) ใช้ Past Perfect Continuous Tense กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต ซึ่งเกิดก่อนหน้าช่วงเวลาอดีตที่กำลังพูดถึงกันอยู่ (เหมือน Past Perfect Tense) และดำเนินต่อเนื่องกันมาถึงช่วงเวลาหนึ่งจึงจบลง ซึ่งจะใช้ Past Perfect หรือ Past Perfect Continuous ก็ได้โดยจะใช้ Past Perfect Continuous ก็ต่อเมื่อต้องการเน้นความต่อเนื่องของเหตุการณ์ที่เกิดก่อนในอดีต ว่าได้เกิดต่อเนื่องกันมามิได้หยุด ก่อนที่จะมีอีกเหตุการณ์หนึ่งที่เป็นอดีตเช่นกันได้เกิดขึ้นในภายหลัง โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในภายหลังนี้ใช้ Past Simple Tense เช่น

It is now eight p.m. I was very tired because I had been working since morning.ขณะนี้ 2 ทุ่มแล้ว ผมรู้สึกเหนื่อยมากเพราะผมได้ทำงานติดต่อกันตลอดวัน ตั้งแต่เช้าตรู่ทีเดียว (ทำงานก่อนเป็น had been working และรู้สึกเหนื่อยตอนเลิกแล้วจึงใช้รูป past simple tense)
It had been raining, so the ground wet.  ฝนได้ตก (เมื่อคืน) ดังนั้นพื้นดินจึงเปียก
            2) Past Perfect ที่ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ หลายครั้ง สามารถใช้ Past Perfect Continuous Tense แทนได้ เช่น
I had tried ten times to get her on the phone. (past perfect)ผมได้พยายามถึง 10 ครั้งเพื่อพูดโทรศัพท์กับหล่อนI had been trying to get her on the phone. (past perfect continuous)
            หมายเหตุ: กริยาที่ไม่ใช้รูป continuous (ยกเว้น want และ wish) จะไม่นำมาใช้ใน past perfect continuous เพราะ past perfect continuous อยู่ในรูป -ing เหมือน continuous ตัวอื่น


  Future Simple Tense
             Future Simple Tense    แสดงถึงอนาคตกาล คือ ทั้งที่ยังไม่เกิดขึ้น คำว่า Future (อนาคต) ก็คือ สิ่งที่ยังไม่แน่นอนว่าจะเกิดขึ้นหรือเปล่า ด้วยความไม่แน่นอนนี่เอง รูปของ Future จึงมีหลายรูปด้วยกัน โดยจะบอกถึงโอกาสของการเกิดที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งโดยปกติแล้วเราจะคุ้นกับรูป Will, Shall ว่าเป็น Future แต่จริงๆ แล้วยังมีอีกหลายรูปหลาย Tense ที่ให้ความหมายเป็น Future ได้เหมือนกับ Will, Shall ดังนี้

1) รูป future ที่ใช้ will, shall
2) รูป future ที่ใช้ present simple
3) รูป future ที่ใช้ present continuous

4) รูป future ที่ใช้ be going to
5) รูป future ที่ใช้ future perfect
6) รูป future ที่ใช้ future perfect continuous
7) รูป future ที่ใช้ future continuous
             ทั้ง 7 รูปข้างต้นนี้ล้วนแต่ให้ความหมายเป็นอนาคตได้ทั้งนั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะนำรูปทั้งหมดนั้นมาใช้ในรูป future เพียงอย่างเดียว ที่บอกว่าเป็นอนาคตได้นั้นหมายเอาในบางแง่ที่สามารถนำมาใช้ในรูปอนาคตได้แต่ที่เป็นอนาคตตลอดเวลาได้ก็มีรูป will, shall และ be going to + v เท่านั้น ขอให้ศึกษาวิธีการใช้จากกฎเกณฑ์และตัวอย่างต่อไปนี้แล้วจะรู้ว่า ภาษอังกฤษไม่ยากอย่างที่คิด
             โครงสร้าง: S + will / shall + v.1
will / shall ใช้เป็นกริยาช่วยเสมอ (เป็น modal auxiliary verb) กริยาแท้ที่ตามหลัง will shall จะเป็นกริยาช่องที่ 1 เสมอไม่ว่าประธานจะเป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์ก็ตาม
Please wait here. I will be back soon.  กรุณารอที่นี่นะ ผมจะกลับมาเร็วๆนี้ (will ใช้ได้กับประธานทุกตัว ส่วน shall จะใช้กับประธาน I และ We โดยกริยาหลัง Will / Shall จะเป็นช่องที่ 1 เสมอ ประโยคข้างบนมี be เป็นกริยาแท้)
I shall do it tomorrow.  ผมจะทำสิ่งนี้ในวันพรุ่งนี้
การใช้ Future Simple Tense             

1) ใช้ Future Simple Tense กับเหตุการณ์ที่เกิดในอนาคตโดยทั่วๆไป ที่ผู้พูดคิดหรือหวังว่าสิ่งที่กำลังพูดถึงอยู่นั้นจะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งโดยมากแล้วจะมีคำ adverbs ดังต่อไปนี้อยู่ในประโยคด้วย

tomorrow พรุ่งนี้
next week สัปดาห์หน้า
next month เดือนหน้า
tonight คืนนี้
later ในภายหลั
the day after tomorrow มะรืนนี้
soon เร็ว นี้
Sakul will be back in Thailand next week.  สกุลจะกลับประเทศไทยในสัปดาห์หน้า
We shall buy a house in the city soon.  พวกเราจะซื้อบ้านในตัวเมืองเร็ว นี้
    หมายเหตุ:           

 1) ใช้ future tense กับการทำนายโดยใช้ได้ทั้งรูป will, shall และ be going to แต่ถ้าใช้ future tense ในรูป if clause (เป็นการทำนายเช่นกัน) จะใช้ได้เฉพาะรูป will, shall ห้ามใช้รูป be + going to           
          2) การคาดการณ์อาจจะมีคำว่า probably, sure, think, wonder เป็นต้น อยู่ในประโยคซึ่งความหมายของคำเหล่านี้จะเป็นการคาดการณ์

         3) ใช้ future simple tense กับสิ่งที่ได้ตัดสินใจไว้แล้ว  ซึ่งเป็นสิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นแน่นอน หรือเป็นสิ่งที่วางแผนไว้แล้วว่าจะทำโดยใช้ future ในรูป be + going to + V.1 ไม่นิยมใช้ will, shall เช่น
We are going to see a movie tonight.พวกเราจะไปดูหนังในคืนวันนี้ (ชวนกันไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะไปดู)
Look at those black clouds. It’s going to rain.ดูเมฆพวกนั้นสิเดียวฝนก็จะตก (เห็นเมฆดำมากจึงคิดว่าฝนน่าจะตก)           

         4) ใช้ future simple tense กับการตัดสินใจ (decisions) การข่มขู่ (threats) การให้สัญญา (promises) การเสนอและการขอร้อง (offers and requests) ดังนี้

          4.1 future simple tense ที่ใช้กับการตัดสินใจ โดยปกติแล้วจะใช้ will เป็นตัวกำหนด (shall ไม่ค่อยถูกนำมาใช้ในรูป future ที่ใช้ในการตัดสินใจยกเว้นใช้ในประโยคคำถาม) เช่น

The phone is ringing. I will answer it.  โทรศัพท์กำลังดัง / ผมจะรับโทรศัพท์
What shall we do?  พวกเราควรทำอย่างไร (ถามว่าพวกเราควรตัดสินใจอย่างไร)
          4.2 ใช้ future simple tense กับการเสนอและขอร้อง (offers and requests) 
Will you give me that camera? ช่วยเอากล้องตัวนั้นให้ผมได้ไหม (จะให้หรือไม่ให้ต้องตัดสินใจ)
Shall I use your room? ขอใช้ห้องของคุณได้ไหม
           5) ใช้ future simple tense กับเหตุการณ์ที่คาดว่าจะเกิดเป็นปกติหรือ จะเกิดเป็นประจำในอนาคต เช่น
Summer will come again.  ฤดูร้อนจะมาเยือนอีกครั้งแล้ว (ฤดูร้อนจะเวียนมาทุกปีแน่นอน)
The birds will build nests. นกจะทำรัง (นกต้องทำรังเพื่ออยู่อาศัยเมื่อถึงฤดูของมัน)



 Future Perfect Tense
               Future Perfect Tense โดยปกติแล้วจะถูกนำมาใช้เพื่อบอกว่าเหตุการณ์จะจบสมบูรณ์ในช่วงเวลาที่แน่นอนในอนาคต โดยแท้จริงแล้วเป็นการยากที่จะนำ tense นี้มาใช้ แต่แม้จะมีโอกาสนำมาใช้ได้น้อยก็ใช่ว่าจะตัดทิ้งได้ เพราะยังมีใช้ให้เห็นอยู่โดย future perfect จะมี will / shall และ have อยู่ในประโยคเสมอ ดังนี้

              โครงสร้าง: S + will / shall + have + V.3
I shall have finished this job before this after noon. ผมจะทำงานชิ้นนี้เสร็จสมบูรณ์ก่อนเวลาเที่ยง
Next year they will have been here for ten years. ในปีหน้านี้พวกเราจะอยู่ที่นี่ครบ 10 ปีเต็ม
การใช้ Future Perfect Tense             

            1) ใช้ future perfect tense กับเหตุการณ์ที่คาดว่าจะสำเร็จบริบูรณ์ในอนาคต ตามช่วงเวลาที่กำหนดไว้ โดยมากจะมี By + เวลา เป็นที่ให้สังเกต หรืออาจจะมีช่วงดวลาที่แน่นอน ให้เป็นที่สังเกตในประโยค เช่น

The bus will arrive Bangkok by 8 o’clock tonightรถประจำทางจะมาถึงกรุงเทพฯ ในเวลา 8 โมงเย็นนี้
We will have done this job by Christmasพวกเราจะทำงานชิ้นนี้เสร็จก่อนคริสต์มาส
            2) ใช้ future perfect tense กับเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ที่จะเกิดไม่พร้อมกันในอนาคต โดยเหตุการณ์ที่เกิดก่อนให้ใช้ future perfect (s +will / shall + have + V.3) ส่วนเหตุการณ์ที่จะเกิดทีหลังใช้ present simple (s + V.1) เช่น
I shall have finished my report when the bell rings. 

ผมจะทำรายงานเสร็จเมื่อระฆังดัง

She will have gone to India when her husband gets home tomorrow.หล่อนจะไปอินเดียเมื่อสามีของหล่อนกลับมาถึงบ้านในวันพรุ่งนี้



 Future Continuous Tense
                Future Continuous Tense  เป็น Tense ที่บ่งถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดในช่วงเวลาที่แน่นอนในอนาคต โดยโครงสร้างจะมี verb to be (be) มาช่วยและ verb แท้จะอยู่ในรูป -ing ดังนี้

               โครงสร้าง: S + will / shall + be + V.ing
John will be taking a nap in the afternoon.  จอห์นจะนอนพักสักงีบในช่วงบ่าย
I shall be reading the newspaper then.  ถัดจากนั้นผมก็จะอ่านหนังสือพิมพ์
การใช้ Future Continuous Tens           

           1) ใช้ future continuous tense เพื่อบอกว่าการกระทำอย่างหนึ่งจะเกิดและดำเนินต่อเนื่องไปในเวลาเฉพาะช่วงใดช่วงหนึ่งในอนาคต ซึ่งมักจะมีเวลาระบุไว้ในประโยค เช่น  This time tomorrow I will be class.  เวลานี้ในพรุ่งนี้ผมคงจะสอนหนังสืออยู่ในห้องเรียน

At 8 o’clock this morning I will be writing my third book.เวลา 8 โมงเช้าที่จะถึงนี้ ผมคงจะกำลังเขียนหนังสือเล่มที่ 3 อยู่ (ตอนที่พูดอยู่นี้ยังไม่ถึง 8 โมง)
            2) ใช้ future continuous tense กับเหตุการณ์ที่ผู้พูดมั่นใจว่าจะเกิดขึ้นเพราะมีการนัดหมายไว้แล้ว หรือสิ่งนั้นๆ ได้มีการตัดสินใจไว้ล่วงหน้าแล้ว เช่น
I will be staying here till Sunday.  ผมจะพักอยู่ที่นี้จนถึงวันอาทิตย์หน้า
The president will be meeting us next week.  ท่านประธานจะมาพบพวกเราในสัปดาห์หน้า
           3) ใช้ future continuous tense เป็นวิธีการถามที่สุภาพ เกี่ยวกับแผนงานของคนอื่น ที่ใช้ future continuous tense ถามก็เพื่อบอกถึงสิ่งที่ผู้พูดได้ตัดสินใจแล้ว แต่ไม่ต้องการให้คำถามนั้น กดดันหรือมีอิทธิพลต่อผู้ถูกถาม เช่น
Will you be joining us tomorrow?  พรุ่งนี้คุณจะมาร่วมสังสรรค์กับพวกเราไหม
Will you be teaching English next term?  เทอมการศึกษาหน้าคุณจะสอนวิชาภาษาอังกฤษไหม


  future perfect continuous tense
               future perfect continuous tense ใช้คล้ายๆ กับ future perfect tense โดยบางครั้งสามารถนำเอา future continuous tense มาใช้แทนกันได้ เพราะเป็นการเน้นความต่อเนื่องที่จะเกิดในอนาคตเหมือนกัน

              โครงสร้าง: S + will / shall + have + been + V.ing
การใช้ Future Perfect Continuous Tense             

1) ใช้ future perfect continuous tense กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่จะเกิดและดำเนินต่อเนื่องกันไปในอนาคต (ใช้คล้ายกับ future perfect tense แต่เน้นที่ความต่อเนื่องกัน)

By next March I will have been teaching in this university for three years. ในเดือนมีนาคมหน้าผมจะสอนที่มหาวิทยาลัยนี้ครบ 3 ปีพอนี้
My son will have been sleeping for 4 hours by the time I get home. ลูกชายของผมจะนอนครบ 4 ชม. ในเวลาที่ผมกลับถึงบ้าน
He published his first book at the age of twenty. Five years later he would be a famous writer. เขาได้พิมพ์หนังสือเล่มแรกเมื่ออายุ 20 ปี 5 ปีถัดมาเขาก็กลายเป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียง





































































































































































































































































ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น