ประโยค Active Voice คือ ประโยคที่ประธานเป็นผู้กระทำกริยา เช่น John eats bread. (John ทานขนมปัง)ประธานของประโยคนี้
คือ John ซึ่งเป็นผู้กระทำกริยาeats
ประโยค Passive Voice คือ ประโยคที่ประธานเป็นผู้ถูกกระทำด้วยกริยา เช่น Bread is eaten by John. (ขนมปังถูกทานโดย John) ประธานของประโยคนี้ คือ Bread ซึ่งเป็นผู้ถูกกระทำกริยาeatsโดย John
เราจะใช้ประโยค Passive Voice แทน Active Voice
เมื่อเราต้องการ
เน้นผู้ถูกกระทำหรือเมื่อกล่าวถึงเหตุการณ์ที่ไม่ทราบว่าผู้กระทำเป็นผู้ใด เช่น
** เมื่อปากกาเราถูกขโมย เรามักจะพูดว่า My pen was stolen.
** ปากกาของฉันถูกขโมยไปแล้ว เราไม่นิยมพูดว่า A thief stole my pen.
(ขโมยได้ขโมยปากกาของฉันไปแล้ว)
(ขโมยได้ขโมยปากกาของฉันไปแล้ว)
หลักในการเปลี่ยนประโยค Active Voice เป็น Passive Voice
1. นำกรรมของประโยคActive Voice มาเป็นประธานของประโยค
Passive Voice เช่น
Passive Voice เช่น
Active Voice : John eats bread.
=> Passive Voice : Bread is eaten by John.
2. เปลี่ยนคำกริยาของประโยค Active Voice เป็นช่องที่3 และจะต้องมี
Verb to be อยู่หน้าคำกริยานั้นเสมอ จะใช้ Verb to be ตัวใดขึ้นอยู่กับประธาน
ของประโยค Passive Voice และ Tense ของคำกริยาตัวเดิมใน Active Voice เช่น
Verb to be อยู่หน้าคำกริยานั้นเสมอ จะใช้ Verb to be ตัวใดขึ้นอยู่กับประธาน
ของประโยค Passive Voice และ Tense ของคำกริยาตัวเดิมใน Active Voice เช่น
Active Voice : John eats bread.
=> Passive Voice : Bread is eaten by John.
*** ใช้ is eaten เพราะประธานของ
Passive Voice เป็นนามนับไม่ได้ และคำกริยาของ Active Voice เป็นช่อง 1 (eats)
3. นำประธานของประโยค Active Voice ไปเป็นกรรมของประโยค
Passive Voice โดยมีคำว่า by นำหน้า เช่น
Passive Voice โดยมีคำว่า by นำหน้า เช่น
Active Voice : John eats bread.
=> Passive Voice : Bread is eaten by John.
** ถ้าประธานของประโยค Active Voice เป็นคำสรรพนาม(Pronouns)
เมื่อเปลี่ยนไปเป็นกรรมของประโยค Passive Voice จะต้องเปลี่ยนรูปเป็น
กรรมตามไปด้วย เช่น
กรรมตามไปด้วย เช่น
Active Voice : He ate bread.
=> Passive Voice : Bread was eaten by him.
การเขียนประโยค Passive Voice
ให้คำนึงถึง คำกริยาในประโยค Active Voice ใน 2 ลักษณะ ดังนี้
1. ถ้าในประโยค Active Voiceมี คำกริยาช่วยกับคำกริยาแท้ เมื่อเขียนเป็นประโยค Passive Voice ส่วนที่เป็นกริยาจะประกอบด้วยคำกริยาช่วย + be + คำกริยาช่องที่ 3 เช่น
Active Voice : Jenny can drive a car.
=> Passive Voice : A car can be driven by
Jenny.
Active Voice : He will drink coffee.
=> Passive Voice : Coffee will be drunk by
him.
Active Voice : She has to speak English. (has to หรือ have to
มีความหมายว่า"จำเป็นต้อง")
มีความหมายว่า"จำเป็นต้อง")
=> Passive Voice : English has to be spoken
by her.
Active Voice : Mark ought to do homework this
evening. (ought to มีความหมายว่า"ควร/ควรจะ")
=> Passive Voice : Homework ought to be done
by Mark this evening.
2. ถ้าในประโยค Active Voice มี เฉพาะคำกริยาแท้ ไม่มีคำกริยาช่วย
เมื่อเขียนเป็นประโยค Passive Voice ส่วนที่เป็นกริยาจะประกอบ
เมื่อเขียนเป็นประโยค Passive Voice ส่วนที่เป็นกริยาจะประกอบ
ด้วย Verb to be + คำกริยาช่องที่3 โดยส่วนที่เป็นVerb to be นั้น จะเปลี่ยนรูปไปตามคำกริยาแท้ในประโยค Active Voice เช่น
Active
Voice : Jenny ate rice.
=> Passive Voice : Rice was eaten by Jenny.
(Verb to be ใช้ was เพราะคำกริยาในActive
Voice เป็นช่องที่2 = ate
และประธานของประโยค Passive Voice เป็นนามนับไม่ได้= Rice)
Active
Voice : Mark does homework everyday.
=> Passive Voice : Homework is done by Mark
everyday.
(Verb to be ใช้ is เพราะคำกริยาใน Active Voiceเป็นช่องที่1 = does
(Verb to be ใช้ is เพราะคำกริยาใน Active Voiceเป็นช่องที่1 = does
และประธานของประโยค Passive Voice เป็นนามนับไม่ได้= Homework)
Active
Voice : She is making a doll.
=> Passive Voice : A doll is being made by
her. (Verb to be ใช้ is being เพราะคำกริยาใน Active Voice เป็นรูปปัจจุบันกำลังกระทำ
= is making และประธานของประโยค Passive Voice เป็นเอกพจน์บุรุษที่ 3
= A doll)
= A doll)
Active
Voice : He was making dolls.
=> Passive Voice : Dolls were being made by
him. (Verb to be ใช้ were being เพราะคำกริยาใน Active Voice เป็นรูปอดีตกำลังกระทำ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น